
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การสื่อสาร การแพทย์ ไปจนถึงการเงิน ซึ่งส่งผลให้เกิดโอกาสใหม่ ๆ มากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล สหภาพยุโรปจึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมและกำกับการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการออกกฎหมาย EU AI Act เพื่อควบคุมและกำกับการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ช่วงเดือนพฤษภาคม2567 และกำลังนำมาปรับใช้ ในกฎหมายของแต่ละประเทศใน EU ด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้ได้จริงในแต่ละประเทศของ EU ในปี 2568 ก็ตามกฎหมายมีการแบ่งประเภท AI ตามระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับและมีการกำหนดข้อบังคับทางกฎหมายไว้อย่างชัดเจน ได้แก่
ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ (Unacceptable risk)
AI ประเภทนี้กฎหมายจะห้ามใช้งานในสหภาพยุโรปเพราะอาจทำให้เกิดอันตรายและเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ระบบให้คะแนนบุคคลจากพฤติกรรมหรือการจดจำอารมณ์ในที่ทำงาน และของเล่นที่สามารถสั่งการด้วยเสียงที่ส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อเด็ก
โดยกฎหมายมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ มีค่าปรับสูงถึง 7% ของมูลค่าการซื้อขายประจำปีทั่วโลก หรือ 35 ล้านยูโร (ขึ้นอยู่กับตัวเลขใดสูงกว่า) หากมีการละเมิดข้อกำหนด
ความเสี่ยงสูง (High risk)
AI ประเภทนี้กฎหมายมีการอนุญาตให้ใช้งานได้แต่ต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองก่อนเนื่องจากส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) ระบบ AI ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงของเล่น การบิน รถยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และลิฟต์ ตัวอย่างเช่น ระบบ AI ในการจัดหาบุคลากรหรือระบบความปลอดภัยของยานยนต์
2) ระบบ AI ที่ตกอยู่ในพื้นที่เฉพาะที่จะต้องลงทะเบียนในฐานข้อมูลของสหภาพยุโรป
โดยกฎหมายมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ มีค่าปรับสูงถึง 6% ของมูลค่าการซื้อขายประจำปีทั่วโลก หรือ 30 ล้านยูโร (ขึ้นอยู่กับตัวเลขใดสูงกว่า) หากมีการละเมิดข้อกำหนด
ความเสี่ยงจำกัด (Limited risk)
AI ประเภทนี้ กฎหมายจะมีการระบุข้อกำหนด ด้านความโปร่งใสไว้ โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบว่ากำลังใช้งาน AI อยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ตัวอย่างเช่น Chatbots, Deepfake หรือ ChatGPT โดยเนื้อหาที่สร้างขึ้นหรือแก้ไขด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพ เสียง หรือวิดีโอ จะต้องมีป้ายกำกับชัดเจนว่าเป็น AI สร้างขึ้น รวมถึงมีข้อบังคับในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการด้วย
โดยกฎหมายมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติมีค่าปรับสูงถึง 4% ของมูลค่าการซื้อขายประจำปีทั่วโลก หรือ 20 ล้านยูโร (ขึ้นอยู่กับตัวเลขใดสูงกว่า) หากมีการละเมิดข้อกำหนด
ความเสี่ยงต่ำ (Minimal risk)
AI ประเภทนี้ ไม่มีข้อบังคับทางกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ผลกระทบต่อความปลอดภัยและสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เป็น AI ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ AI ส่วนใหญ่ที่มีจำหน่ายในตลาดของสหภาพยุโรป เช่น ระบบกรองสแปม หรือการแต่งรูปภาพ
สรุป
EU AI Act เป็นกรอบกฎหมายที่มีความสำคัญในการควบคุมความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมุ่งเน้นการปกป้องสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของมนุษย์ การจำแนกประเภทความเสี่ยงนี้จะช่วยให้การจัดการและควบคุมการใช้ AI เป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เราสามารถใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับทุกคนได้